ราคามันสำปะหลัง
ราคาหัวมันสด/มันเส้น (นครราชสีมา) 
ราคามันเส้น/โกดังส่งออก (อยุธยา) 
ราคามันเส้น (กรมการค้าภายใน)
การส่งออกมันเส้น/มันอัดเม็ด (สภาหอการค้าฯ) 
		
		
ชื่อ Admin

รหัสผ่าน :


 
 
 
 
 




มันสำปะหลัง 5 ตันต่อไร่ ง่ายนิดเดียว

อังคาร ที่ 19 เดือน สิงหาคม พ.ศ.2551


มันสำปะหลัง…. 5 ตันต่อไร่ ง่ายนิดเดียว
 
มันสำปะหลัง เป็นพืชที่เกษตรกรนิยมปลูกกันมากทั้งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก เนื่องจากเป็นพืชที่สามารถทนทานต่อสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้ดี เช่น สามารถปลูกได้ในดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ทนทานต่อสภาพแห้งแล้ง โรคและแมลง และสภาพความเป็นกรดเป็นด่าง pH ประมาณ 5 – 6 และจากปัญหาราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอีก ในอนาคต รัฐบาลจึงได้กำหนดแผนและนโยบายพลังงานทดแทนจากพืชพลังงานเพื่อผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง อ้อย และไบโอดีเซลจากปาล์มน้ำมันและพืชอื่น ๆ เพิ่มขึ้น โดยในปี 2549 จะผลิตเอทานอล 1 ล้านลิตรต่อวัน และในปี 2554 จะผลิตเอทานอลเป็น 3 ล้านลิตรต่อวัน จึงมีความจำเป็นต้องใช้หัวมันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบเพิ่มขึ้นอีกมาก กรมวิชาการเกษตร ได้จัดทำ Road Map ของมันสำปะหลัง โดยจะต้องเพิ่มผลผลิตต่อไร่จากปัจจุบันได้ผลผลิตประมาณ 3.2 ตันต่อไร่ให้สูงขึ้น เป็น 5 ตันต่อไร่ในปี 2551 ดังนั้นจึงจะต้องทำอย่างไร ที่ไหน เมื่อไหร่ เพื่อยกระดับผลผลิตของมันสำปะหลังให้ได้ 5 ตันต่อไร่ เพื่อให้มันสำปะหลังพอเพียงต่ออุตสาหกรรมแป้ง และ เอทานอล ภายใต้ข้อจำกัดของพื้นที่ปลูกที่มีเท่าเดิม ซึ่งมันสำปะหลังเป็นพืชที่มีศักยภาพในการเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้นได้ จากข้อมูลงานทดลองการใช้ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมีในมันสำปะหลัง ส่วนใหญ่ให้ผลเป็นไปในทำนองเดียวกัน คือต้องใช้ปุ๋ยอินทรีย์ควบคู่ไปกับปุ๋ยเคมีจึงจะให้ผลผลิตดีซึ่งอัตราปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมีที่เหมาะสมขึ้นกับคุณสมบัติของดิน มันสำปะหลังเป็นพืชที่ศักยภาพสามารถเพิ่มผลผลิตขึ้นได้มากกว่า 5 ตันต่อไร่ แต่การปลูกมันสำปะหลังของเกษตรกรส่วนใหญ่ไม่ได้ผลผลิตสูงเท่าที่ควร เนื่องจากดินที่ปลูกส่วนใหญ่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ การดูแลรักษาไม่ถูกต้อง และปลูกในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม ซึ่งการที่เกษตรจะเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้นได้มากกว่า 5 ตันต่อไร่ โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม มีการอนุรักษ์ทรัพยากรดินไม่ให้เสื่อมโทรม และสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรได้อย่างยั่งยืน โดยลงทุนไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก จะต้องไม่ปฏิบัติดังนี้

1. ไม่ปลูกมันสำปะหลังในสภาพดินที่มีความเป็นด่างมากเกินไป การปลูกมันสำปะ -หลัง ในดินมีความเป็นด่างมากเกินไป (pH 7 ขึ้นไป) ทำให้ความเป็นประโยชน์ของธาตุพืชโดยเฉพาะ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และธาตุอาหารรองต่าง ๆ เช่น เหล็ก แมงกานีส โบรอน ทองแดง และสังกะสี จะถูกตรึงอยู่ในสารละลายดิน พืชใช้ประโยชน์ได้น้อยลง ขณะที่ทำให้มันสำปะหลังแสดงอาการขาดธาตุอาหารรอง แสดงอาการคลอโรซีล พืชขาดคลอโรฟิลล์ในการสังเคราะห์แสงเพื่อการเจริญเติบโตและการเคลื่อนย้ายอาหารไปสะสมในส่วนราก (หัว) ลดลงทำให้ได้ผลผลิตต่ำ ฉะนั้นในดินด่างเกษตรกรควรให้ความสนใจที่ปลูกพืชอื่นที่ทนต่อความเป็นด่าง เช่น ข้าวโพด อ้อย เพราะการปรับปรุงดินทำได้ยาก

2. ไม่ปลูกมันสำปะหลังในสภาพดินที่มีน้ำท่วมขัง ที่ผ่านมามันสำปะหลังมีราคาแพงทำให้เกษตรกรหันมาปลูกมันสำปะหลังกันมากขึ้น มีการปลูกมันสำปะหลังทั้งในสภาพพื้นที่ต่ำมีน้ำท่วมขัง หรือพื้นที่นาดอน ซึ่งเนื้อดินส่วนใหญ่เป็นดินเนื้อละเอียดสามารถอุ้มน้ำได้ดี การระบายน้ำยากกว่าดินเนื้อหยาบ พอถึงฤดูฝนมีน้ำท่วมขังหรือมีฝนตกมากทำให้เกตษรกรต้องขุดมันฯ เพื่อหนีน้ำ เพราะถ้าไม่รีบขุดน้ำท่วมขังเป็นเวลานานทำให้ หัวมันสำปะหลังเน่า ซึ่งบางครั้งมันฯอายุยังน้อย ทำให้ได้ผลผลิตต่ำ ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยทั้งประเทศต่ำลงไปด้วย

3. ไม่ใช้ปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียว เนื่องจากการใช้ปุ๋ยเคมีเป็นเวลานานทำให้ดินขาดความสมดุลในส่วนของลักษณะทางเคมี กายภาพ และชีวภาพ ซึ่งแนวทางหนึ่งที่สามารถช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวคือ การใช้ปุ๋ยเคมีร่วมกับการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ซึ่งปุ๋ยอินทรีย์มีคุณสมบัติในการปรับโครงสร้างของดินทำให้เกิดสภาวะแวดล้อมที่เอื้อประโยชน์ในการใช้ธาตุอาหาร และปุ๋ยที่ใส่ให้กับมันสำปะหลัง ทำให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นซึ่ง สุรนัย และคณะ (2542) พบว่า การปลูกมันสำปะหลังพันธุ์ระยอง 72 โดยมีการใช้ปุ๋ยมูลไก่ 500 กิโลกรัมต่อไร่ร่วมกับปุ๋ยเคมี 50 กิโลกรัมต่อไร่ ให้ผลผลิตหัวสดสูงสุด 9,780 กิโลกรัมต่อไร่เมื่ออายุ 12 เดือน ซึ่งสอดคล้องกับวัลลีย์ และคณะ (2549) พบว่า การปลูกมันสำปะหลัง 4 พันธุ์ในชุดดินห้วยโป่ง โดยใส่ปุ๋ยมูลวัว 500 กิโลกรัมต่อไร่ในปีแรก และปีที่ 2 ใส่ปุ๋ยเคมี16-8-16 กิโลกรัมต่อไร่ของN-P2O5-K2O เพียงอย่างเดียว มันสำปะหลังพันธุ์ระยอง 5, ระยอง 72, ระยอง 9 และพันธุ์เกษตรศาสตร์ 50 ให้ผลผลิตหัวสด 8,149, 10,079, 7,659 และ 8,764 กิโลกรัมต่อไร่ เมื่ออายุ 12 เดือน และมีเปอร์เซ็นต์แป้ง 26.0, 25.2, 32.6 และ 28.9 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ

4. ไม่เก็บเกี่ยวมันสำปะหลังอายุต่ำกว่า 1 ปีการเก็บเกี่ยวมันสำปะหลังที่มีอายุน้อย ขณะที่มันสำปะหลังกำลังเจริญเติบโต ทำให้มีการสะสมน้ำหนักของมันสำปะหลังที่หัวต่ำ เป็นผลให้มันสำปะหลังหัวเล็ก ส่งผลให้ผลผลิตต่อไร่ต่ำด้วย การเก็บเกี่ยวมันสำปะหลังที่อายุ 12 เดือน ก็จะมีผลให้การสะสมน้ำหนักในหัวมากขึ้น หัวมันฯ มีขนาดใหญ่ แต่ก็ไม่ควรปล่อยให้มันสำปะหลังมีอายุมากกว่า 18 เดือน เพราะจะทำให้หัวฝ่อแล้วเปอร์เซ็นต์แป้งก็จะลดลง (ตารางที่ 1)
 
ตารางที่ 1 แสดงผลผลิตหัวสด (ตันต่อไร่) เปอร์เซ็นต์แป้ง (%) และผลผลิตแป้งของมันสำปะหลัง 5 พันธุ์ ที่เก็บเกี่ยวอายุ 8 12 และ 18 เดือน
พันธุ์
ผลผลิตหัวสด ตัน/ไร่
% แป้ง (Lab)
ผลผลิตแป้ง ตัน/ไร่
อายุ 8 เดือน
ระยอง 9
ระยอง
5
ระยอง
72
ระยอง
90
เกษตรศาสตร์ 50
อายุ 12 เดือน
ระยอง 9
ระยอง
5
ระยอง
72
ระยอง
90
เกษตรศาสตร์ 50
อายุ 18 เดือน
ระยอง
9
ระยอง
5
ระยอง
72
ระยอง
90
เกษตรศาสตร์ 50

3.65
4.36
4.52
3.95
4.30

4.94
4.81
5.46
4.99
4.99

7.80
6.93
6.49
6.56
7.34

28.9
25.0
23.1
27.5
23.1
30.8
25.5
23.5
27.5
25.6

29.3
23.5
20.9
25.6
23.8

1.05
1.09
1.04
1.08
0.99
1.52
1.22
1.28
1.37
1.28

2.28
1.63
1.35
1.68
1.75
ที่มา : ศูนย์วิจัยพืชไร่ระยอง (2548)
5. ไม่กำจัดวัชพืชตามใจชอบ เกษตรกรจะต้องให้ความสนใจ เรื่องการกำจัดวัชพืช และเข้าใจธรรมชาติของมันสำปะหลังด้วยว่ามันสำปะหลังต้องการปุ๋ย ที่อายุ 1 -2 เดือนหลังปลูก หากคิดว่าว่างเมื่อไหร่แล้วค่อยไปกำจัดวัชพืชการค่อยใส่ปุ๋ย นั้นย่อมทำให้มีการแข่งขันระหว่างต้นมันฯ กับวัชพืช หรือเมื่อมีการใส่ปุ๋ยแล้วปล่อยให้วัชพืชขึ้นมากยังไม่มีการจัดการ ทำให้มีการแข่งขันการใช้ปุ๋ยระหว่างมันฯกับวัชพืชมีมาก ทำให้ได้ผลผลิตลดลง เกษตรกรสามารถกำจัดวัชพืชโดยใช้แรงคนที่อายุ 30 วันหลังปลูก หรือ ใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชพาราควอท ฉีดพ่นเมื่อ อายุ 30 วันและ 60 วันหลังปลูก และใช้ไกลโฟเซต เมื่อมันสำปะหลังมีอายุมากขึ้น
 
6. ไม่จำเป็นต้องหาพันธุ์ใหม่ ๆ ตลอดเวลา มันสำปะหลังส่วนใหญ่ที่ผ่านการรับรองจากกรมวิชาการเกษตร จะเป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูง มีทั้งพันธุ์ที่ปลูกได้ทั้งฤดูกาลปกติและมันฯเพื่อปลูกปลายฝน หรือเพื่อผลิตเอทานอล แต่พันธุ์เหล่านี้มีข้อจำกัดแตกต่างกัน เช่น บางพันธุ์ถ้าปลูกในสภาพแวดล้อมที่ดินมีความอุดมสมบูรณ์สูง ไม่มีความสมดุลของธาตุอาหาร จะมีการเจริญเติบโตทางส่วนเหนือดินจะมากกว่าการสะสมน้ำหนักในส่วนใต้ดิน เช่น พันธ์ระยอง 9 หรือบางพันธุ์สามารถเจริญเติบโตและให้ผลผลิตได้ดีในสภาพที่ดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ เช่น พันธุ์เกษตรศาสตร์ 50 และก็มีบางพันธุที่สามารถสร้างหัวได้เร็ว เช่น พันธุ์ระยอง 5 ทั้งนี้เกษตรกรจะต้องพิจารณาเองว่า มันสำปะหลังพันธุ์เหล่านี้เหมาะสมที่จะปลูกในสภาพพื้นที่ของตัวเองหรือไม่ อาจจะทดลองปลูกในพื้นที่น้อย ๆ ก่อน ถ้าพันธุ์ใดเหมาะกับพื้นที่ของเราแล้วค่อยขยายพันธุ์เพิ่มในปีต่อไป ไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อมันสำปะหลังพันธุ์ใหม่ซึ่งมีราคาแพง เนื่องจากพันธุ์มัน ฯ ที่ผ่านการรับรองใหม่ ๆ จะมีปริมาณน้อย ซึ่งเป็นกฎของอุปสงค์และอุปทาน และถ้าหากว่าราคาของมันสำปะหลังในปีถัดไปถูกลง นั้นย่อมทำให้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังขาดทุน เนื่องจากมีต้นทุนเพิ่มในการซื้อท่อนพันธุ์ และมันสะปะหลังแต่ละพันธุ์อาจจะเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน
 
7. ราคามันสำปะหลังต้องไม่ต่ำกว่า 1.50 บาทต่อกิโลกรัม ราคาของมันสำปะหลังเป็นปัจจัยที่สำคัญเป็นอันดับแรกที่จะต้องคำนึงถึง ทั้งนี้การเพิ่มผลผลิตมันฯ โดยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกับปุ๋ยเคมีเกษตรกรจะต้องมีการลงทุนเพิ่ม แต่ก็ทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นคุ้มกับการลงทุน ถ้ามีการประกันราคาของผลผลิต


จะเห็นได้ว่าการเพิ่มผลผลิตมันสำปะหลังให้สูงขึ้นนั้นไม่ยาก ซึ่งศักยภาพของมันสำปะหลังมีอยู่แล้วเพียงแต่ว่าเกษตรกรต้องเข้าใจธรรมชาติ และความต้องการของมันฯ แล้วก็จะจัดการได้อย่างถูกต้องการเพิ่มผลผลิตจึงง่ายนิดเดียว

----------------------------------

กสิกร ปีที่ 79 ฉบับที่ 5 กันยายน – ตุลาคม 2549

วัลลีย์ อมรพล
ไชยยศ เพชระบูรณิน
ผู้เขียน